วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552

วารสาร...อยู่ในนิเทศได้ด้วยเหรอ

“อ่าว อาลั้ง ไม่เจอตั้งนานเรียนไหนวะ”
“อ๋อ เรียนวารสารน่ะ อาเหลียว”
“เรียนธรรมศาสตร์อ่ะดิ เรียนวารสาร...”
“ป่าวๆ เรียน ม.กรุงเทพ”
“ม.กรุงเทพ มีแต่นิเทศ...วารสาร มีที่ไหน??? อาลั้ง ลื้อมั่วนะเนี่ย กลับไปจะไปไหว้ป้ายบรรพบุรุษได้ยังไง...”

เอ่อ...เราปล่อยอาเหลียว กับอาลั้ง ไปเถอะครับ...แต่ทั้งคู่เข้าใจไม่ผิดนะครับ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีคณะวารสารศาสตร์ครับ เป็นคณะที่เรียนด้านการสื่อสารเหมือนคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพนี่แหละครับ...แต่ในมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก็มีวารสารศาสตร์อยู่จริงๆนะครับ เพียงแต่เป็นภาควิชาครับ ซึ่งก็จะเน้นเรียนไปทางด้านการทำงานข่าวทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และในวิทยุ โทรทัศน์ครับ...ชื่อโดยย่อของภาควิชานี้คือ JR ครับไม่ได้ย่อมาจาก junior แน่นอนครับ...อย่าพยายามคิดให้เป็นอย่างนั้น JR นี่ย่อมาจาก Journalism ครับผม
ซึ่งที่มหาวิทยาลัยนี่รุ่นผมจะมีการแยกออกอีกเป็น 2 สาขาครับ ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า คือ สาขาอะไรบ้าง...เก่งมากครับที่ตอบได้ (เหรอ?) ที่ผมถามเพราะว่าผมเคยไปแนะแนวให้น้องๆที่โรงเรียนเก่าผมครับ พอผมถามว่ารู้ไหมว่ามีสาขาอะไรบ้าง...น้องมานะ (นามสมมติเช่นเคยครับ ต้องให้มันชื่อมานะครับ เพราะมีแต่ความมานะพยายามจริงๆ...แต่ไม่น่าพยายามตอบข้อนี้เลย) น้องมานะยกมือตอบอย่างมั่นใจทันทีครับ “สาขากล้วยน้ำไท กับสาขารังสิตครับ”...คือ น้องเขาถือว่าพื้นฐานเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแน่นพอสมควรนะครับ เพราะตอนก่อนผมเข้าเรียนยังไม่รู้เลยว่ามีมหาวิทยาลัยที่กล้วยน้ำไทด้วย...แต่...มันไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ น้อง...แล้วนั่นเขาก็ไม่เรียกสาขาด้วย เขาเรียก วิทยาเขต...โอย...โว๊ย....อยากบ้ากับคุณน้องมานะจริงๆครับ...ท่านผู้อ่านคงไม่ได้ตอบแบบนี้ใช่ไหมครับ หรือคงไม่ได้ตอบว่า อ่อ สาขาปกติ กับสาขาพิเศษ (อันนั้น ภาค ครับ ไม่ใช่ สาขา) หรือตอบว่า ก็มีสาขาไทย กับสาขาอินเตอร์...ที่นี่เขาก็แยกชัดเจนนะครับ อินเตอร์เนี่ย เขาแยกไปเป็นวิทยาลัยนานาชาติเลยครับ ฉะนั้น คำตอบที่ตอบมาจึงผิดหมดเลยครับ....เรามาดูของจริงๆกันดีกว่า
ในรุ่นผม สาขาที่แบ่งคือ วารสารศาสตร์สิ่งพิมพ์ หรือ Print Journalism กับ วารสารศาสตร์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ Electronic Journalism ครับ ซึ่งความแตกต่างก็ชัดเจนครับ Print ก็จะเรียนเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก ส่วนวารสารอิเล็กฯ (ออกเสียง อิ นะครับ) ก็จะเรียนเกี่ยวกับวิทยุ โทรทัศน์ และก็คอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ตครับ แต่ปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปแล้วครับ เพื่อให้ชัดเจนมากขึ้น คณะเลยเปลี่ยนสาขา วารสารอิเล็กฯ เป็น วารสารศาสตร์วิทยุและโทรทัศน์ หรือ Broadcast Journalism ครับ ซึ่งรุ่นผมก็คือรุ่นสุดท้ายที่มี วารสารอิเล็กฯครับ ซึ่งเห็นว่าจะมีงานอำลากันด้วยยังไงถ้าหาภาพมาฝากได้ จะเอามาลงให้ดูนะครับ...
สำหรับใครที่สนใจเรียนภาควิชานี้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ...จรรยาบรรณครับ (จริงๆก็สำคัญทุกวิชาชีพนะครับ) แล้วก็ต้องเป็นคนเขียนอธิบาย บรรยายเก่งครับ อึด อดทน เพราะบางทีเราไปหาข่าว รอเป็นวันๆเลยก็มีครับ แต่อย่างแน่นอนที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ฝึกได้ครับ และเมื่อได้มาเข้าเรียนต้องได้ปฎิบัติจริงอย่างแน่นอนครับ ก็ใครที่สนใจงานข่าว รักงานเขียนอย่างจริงจังละก็...วารสารศาสตร์ ถือเป็นอีกสาขาหนึ่งที่น่าสนใจมากเลยครับ

ประชาสัมพันธ์ ไม่ได้มีแค่ "สวัสดีค่ะ"

ภาควิชา “ประชาสัมพันธ์” ดูจะเป็นภาคที่น่าสงสารภาคหนึ่งครับ เนื่องจากในบ้านเรามีความเข้าใจผิด และสับสนในนิยามของคำว่าประชาสัมพันธ์มากทีเดียวครับ...พอพูดว่า “ประชาสัมพันธ์” ปั๊บ...เราจะนึกถึงพนักงานสาวสวยที่มีหน้าที่คอยบริการข้อมูล หรือรับโทรศัพท์เป็นโอเปอเรเตอร์...ผิดถนัดนะครับกับความหมายของประชาสัมพันธ์จริงๆ ถึงแม้หนุ่มสาวภาคนี้จะหน้าตาดี แต่หน้าที่ของพวกเขาไม่ได้มีแค่นั้นครับ...อีกเรื่องที่เคยเจอเกี่ยวกับเด็กภาคประชาสัมพันธ์ครับ ภาควิชานี้มีชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “PR” ครับ (มาจากคำว่า Public Relations ครับ) เพื่อนผมอนงค์นางหนึ่ง สมมติว่าชื่อ เชอร์รี่ ละกันครับ...เชอร์รี่ ก็เรียนอยู่ PR ครับ แต่ด้วยความสวยปนความน่ารัก(จริงๆครับ) พอเธอตอบใครว่า “เรียนPRค่ะ”...เชื่อไหมครับ เกินครึ่งถามว่า “เรียน พริตตี้ (Pretty) เหรอ”...เอ่อ พี่ครับ...พริตตี้มันมีเปิดสอนในมหาวิทยาลัยด้วยเหรอ(ฟะ) สับสน ไม่เข้าใจ พี่คิดได้ไงเนี่ย!!! แต่พอได้ลองถามสาเหตุจากเชอร์รี่ ผมก็พอเข้าใจมากขึ้นครับ...คือหลายๆคนที่คิดอย่างนั้น คือ เขาเห็นว่าเด็กส่วนใหญ่ที่เรียน PR จะไปทำงาน Event ซะเยอะครับ แล้วในงานพวกนี้ก็จะมี Pretty อยู่ พี่ๆเขาเลยเหมารวมว่า ไอ้ PR เนี่ย ต้องมาจาก Pretty แน่ๆ...ไม่เป็นไรครับพี่ ยังไม่สายเกินไปที่จะปรับความเข้าใจครับ เรื่องตัวย่อของชื่อภาคชื่อคณะแล้วเกิดปัญหาเนี่ย ยังมีอีกเยอะครับ ไว้ว่างๆจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอโยงเข้าเรื่องภาควิชาประชาสัมพันธ์ก่อนครับ จริงๆแล้วการทำ organize หรือการจัด Event ที่เด็ก PR ไปทำกันเยอะนั้น จริงๆก็ไม่ผิดนะครับ เพราะก็ถือว่าตรงสาขาที่เรียนมาพอสมควร แต่แท้จริงแล้วการเป็นนักประชาสัมพันธ์มีหน้าที่สูงส่ง และยากยิ่งกว่านั้นมากครับ นั่นคือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่หน่วยงาน และการทำให้กลุ่มเป้าหมาย เช่น ลูกค้าของบริษัทเรา เกิดความรู้สึกที่ดีกับสินค้าของเรา แล้วซื้อสินค้าของเราครับ...
บางคนก็มีคำถามว่า อยากขายของได้ก็ทำโฆษณาสิ...มามัวประชาสัมพันธ์ทำไม...ที่พูดก็ไม่ผิดครับ เพราะหากต้องการขายของ(อย่างเดียว)โฆษณา(น่าจะ)ทำหน้าที่ได้ดีกว่าการPRครับ แต่ข้อดีของPR คือ การก่อให้เกิด Goodwill ครับ ที่ต้องขอใช้คำนี้ เพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าจะแปลยังไงดี มันประมาณว่าสร้างให้ลูกค้าเกิดความนิยมอ่ะครับ แต่เป็นความนิยมที่สะสมมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ความนิยมชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนกระแสแฟชั่นอ่ะครับ และที่สำคัญคือ การทำ PR นั้นใช้เงินน้อยกว่าโขเลยครับ คิดง่ายๆว่า การจัดงาน Event งานหนึ่ง เราอาจใช้งบประมาณเพียงไม่กี่หมื่น หรือไม่กี่แสน...แต่ถ้าเป็นโฆษณา แค่ค่าผลิตก็อาจไม่พอแล้วก็ได้นะครับ ยังไม่รวมค่าที่ต้องเอาซื้อสื่ออีก นี่แหละครับ เป็นสาเหตุว่าทำไมประชาสัมพันธ์ถึงมีความสำคัญมาก แล้วผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า บริษัทที่มี นักประชาสัมพันธ์เก่งๆนั้น บางครั้งแทบไม่ต้องทำโฆษณาเลยก็ได้ครับ เพราะข่าวของเราจะมีอยู่ในหนังสือพิมพ์ ในโทรทัศน์เอง ถึงจะเป็นการออกในรายการสะเก็ดข่าว เก็บตก แต่ก็อย่าลืมนะครับว่ามีคนดูมากแค่ไหนในแต่ละวัน...
แต่อย่าคิดว่า PR มีหน้าที่แค่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัทอย่างเดียวนะครับ...เมื่อมีด้านที่ดีแล้ว ก็ต้องมีด้านที่ร้ายเช่นกันครับ (ไม่ใช่นักประชาสัมพันธ์ไปทำสิ่งไม่ดีนะ...) คือ การที่มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับบริษัท หรือสินค้าของเราขึ้นมา ทั้งที่เกิดขึ้นจริง และถูกใส่ร้ายป้ายสีครับ ตัวอย่างข่าวก็เช่น เราขายนมตรา มะระ แล้วดันโดนหาว่าปนเปื้อนสารเมลามีนอ่ะครับ หากเราเป็น PR ของบริษัทก็เตรียมตัวสนุกได้เลยครับ เพราะเราต้องลงไปหาข้อมูลว่า ข่าวนี้เป็นความจริงเท็จแค่ไหน และจัดแถลงข่าวครับ...ซึ่งพูดแค่นี้มันดูไม่ยากนะครับ แต่ความเชื่อมั่นที่หายไปต่อจากนั้น PR ต้องเรียกกลับมาให้ได้ด้วยล่ะครับ (บอกแล้วครับ มันคือ ความนิยมที่สะสมมา โดนทำลาย ก็ต้องสะสมใหม่)...
สำหรับน้องๆ ที่อยากเรียนภาควิชาประชาสัมพันธ์นะครับ ก็ไม่ยากครับ แค่เดินมาสมัคร...ล้อเล่นครับ อันนั้นไม่บอกทุกคนก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งครับ มีสติ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลังครับ พอขีดๆเขียนๆ อะไรให้ใครอ่านเข้าใจได้ มนุษยสัมพันธ์ดี มีรอยยิ้มละไมตลอดเวลาครับ แต่จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ก็สามารถฝึกและสั่งสมได้ครับ...ขอเพียงแค่ก้าวแรกที่เข้ามา เรามีใจรัก และมีความมุ่งมั่น ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเราหรอกครับ...

นิเทศ เขาเรียนอะไรกันบ้างหว่า

จากคราวที่แล้ว ที่ผมได้เขียนถึงเกี่ยวกับ การเรียนนิเทศศาสตร์โดยรวมแล้ว...ก็เริ่มมีคนเข้ามาถามครับว่า แล้วนิเทศศาสตร์นั้นแบ่งเป็นอะไรอีกบ้าง จากที่คุยกับน้องๆหลายๆคน ยังไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดครับ น้องบางคนเข้าใจว่า เรียนนิเทศ ต้องถ่ายรูปเก่ง ต้องพูดเก่ง ต้องความคิดสร้างสรรค์เยอะๆ ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่สิ่งเหล่านี้ มันฝึกได้ครับ หากเรามีความพยายามซะอย่าง อะไรก็ไม่ใช่อุปสรรค...
ที่นี้...แล้วในนิเทศศาสตร์ มันประกอบไปด้วยอะไรบ้างล่ะ มีแต่โฆษณาหรือเปล่า เห็นใครเรียนนิเทศ ก็บอกเรียนโฆษณาๆ (ออกเสียงว่า โคด-สะ-นา นะครับ ไม่เอา โค-สะ-นา นี่คือสื่อเสียตังค์ ไม่ใช่วัววิ่งเล่นในไร่) อ่าว แต่พี่สรยุทธ์ ที่เราปลาบปลื้มก็จบนิเทศศาสตร์นี่หว่า...เขาจบโฆษณาเหรอ จบโฆษณาไปเป็นนักข่าวได้ไงอ่า........ครับ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ผมแอบเจอจริงๆนะครับ แล้วก็ไม่ได้ไปโทษน้องเขา หรือมหาวิทยาลัยไหนหรอกครับ...แต่โทษอาจารย์แนะแนวของโรงเรียนน้องดีกว่า...แว้ก ไม่ใช่ ล้อเล่นๆ...ก่อนที่ผมจะถูกหมั่นไส้มากกว่านี้ เรามาดูกันถึงสาเหตุว่า ทำไมพี่สรยุทธ์สุดเก่งของเรา ถึงเป็นนักข่าวได้ทั้งที่เรียนนิเทศศาสตร์กันก่อนดีกว่าครับ
คำตอบก็คือ นิเทศศาสตร์นั้น ไม่ได้มีแต่โฆษณาอย่างเดียวครับ เพราะอย่างที่เคยบอกแหละว่าเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารทั้งหมด ถ้ามีโฆษณาอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่การสื่อสารทั้งหมดสิครับ...อย่างนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยผมจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 ภาควิชาครับ ประกอบไปด้วย...
- ภาควิชาการประชาสัมพันธ์...ภาคนี้จะรวบรวมบรรดานักศึกษาหล่อสวย (ไม่ได้แปลว่าผู้ชายหล่อที่พยายามจะสวยนะครับ แต่หมายถึงมีทั้งหล่อ...และสวย...จริงๆ) บุคลิกภาพดี และรักษาภาพลักษณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ให้กับทั้งตนเอง เพื่อนฝูง และสถาบันครับ...(เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเรียนนะครับ ใครคิดว่า ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่แค่เอาไว้ถามทางในห้าง...กรุณารออ่านบทความหน้าเลยครับ...คุณคิดผิดมหันต์)
- ภาควิชาวารสารศาสตร์...ใครที่สงสัยว่า พี่สรยุทธ์เป็นนักข่าวได้ไง...คงกระจ่างขึ้นนะครับ..ใช่แล้วครับ พี่เขาเรียนภาคนี้แหละครับ ซึ่งก็แน่นอนว่านักศึกษาที่เรียนภาคนี้มักจะจบออกไปเป็นนักข่าวครับ ที่ทำงานอย่างเต็มที่และมากไปด้วยจรรยาบรรณ และจริยธรรมครับ
- ภาควิชาการโฆษณา...นี่คือ ภาควิชาที่ฮิตที่สุดครับ อย่างน้อยก็เป็นภาควิชาที่ติดปากที่สุดแน่นอน ขนาดเวลาผมบอกใครว่าเรียนนิเทศ คู่สนทนายังมักจะพูดเลยครับว่า “เรียนสาขาไรอ่ะ แอด (ย่อมาจาก Advertising น่ะครับ) เหรอ” ผมก็ไม่รุ้ว่า...คือเขาไม่รู้จักภาคอื่น แต่อันจะบอกว่าไม่รู้ ก็ดูน่าอายป่าวไม่รู้ เลยเดาว่า โฆษณาไว้ก่อน....ล้อเล่นครับ จริงๆมันฮิตมากต่างหาก...ฉะนั้นน้องๆ ก็อย่าเศร้าไปครับ ที่เข้าใจมาโดยตลอดว่า นิเทศ คือ โฆษณา เพราะผู้ใหญ่ก็เข้าใจอย่างนั้นไม่น้อยเหมือนกัน...แต่เด็กภาควิชานี้ ก็จะเน้นออกเป็นนักธุรกิจหน่อยครับ หรือไม่ก็จะมีหัวสร้างสรรค์สูง ยังไงก็ตาม นักศึกษาภาคนี้ก็จะเน้นการนำเสนอโฆษณาที่อยู่บนความถูกต้องและความจริงครับ ไม่มีการแต่งเติมเสริมอะไรลงไปทั้งสิ้น
- ภาควิชาการสื่อสารแบรนด์...ฟังชื่ออาจจะไม่คุ้นหูนะครับ เพราะมันเป็นภาควิชาที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่มาเมื่อไม่กี่ปีนี่เองครับ...ถ้าจะมานั่งอธิบายว่ามันคืออะไรแบบละเอียดๆ คงต้องใช้เวลาเป็นปี (แต่ผมจะนำมาเขียนแนะนำแน่ๆ สักครั้งหนึ่ง - - - ขอไปเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายๆก่อน) แต่ที่แน่ๆ...มันไม่ใช่วิชาวาดเขียนโลโก้ทั้งวันทั้งคืนแน่นอนครับ...หยุดความคิดนั้น แล้วเขวี้ยงลงถังขยะไปได้เลย
- ภาควิชาศิลปะการแสดง...และภาคนี้ คือ อีกหนึ่งภาคครับที่ผลิตนักแสดงฝีมือดีออกมาสู่วงการบ้านเรามากมาย แต่จะหนักไปทางละครเวทีนะครับ...แต่ภาคนี้นอกจากจะมีนักแสดงแล้ว ก็ยังมีเรื่องของการเขียนบท การเป็นผู้กำกับ รวมไปถึงศาสตร์ในการแสดงต่างๆด้วยครับ เช่น การเต้น การรำ...ที่สำคัญ ภาคการแสดงของมหาวิทยาลัยจะมีละครเวทีทุกปีให้พวกเราได้ติดตามอย่างตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่ใดเลยด้วยครับ
- ภาควิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์...ชื่อของภาคนี้บอกค่อนข้างตรงตัวนะครับว่าไม่ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์แน่นอน แต่ชีวิตก็จะเจอกระดาษกองพะเนินไม่แพ้กันครับ...เพราะสคริปต์ถ่ายทำรายการ รายการหนึ่งหนาเป็นเล่มๆเลยทีเดียวต่อตอน นอกจากนี้ภาคนี้จะยังได้สัมผัสกับการทำงานในสตูดิโอ รวมไปถึงการตัดต่อ การบันทึกเสียง การจัดรายการสด ฯลฯ ถือเป็นอีกภาควิชาที่น่าสนใจมากครับ...แต่เคยได้ยินเพื่อนบ่นเหมือนกันว่า...เรียนหนักใช่ย่อย ชั่งใจดูละกันครับ
- ภาควิชาภาพยนตร์...ใครที่คิดจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ หรือคิดจะทำหนังสั้นประกวดเอารางวัลระดับโลกละก็...ผมขอแนะนำภาควิชานี้เลยครับ เพราะคุณจะได้ลองทำจริงๆ และยังมีอาจารย์ รวมถึงวิทยากรรับเชิญที่เข้ามาให้ความรู้อีกด้วย...แต่ก็ต้องระวังนะครับ...เวลาไปดูหนัง โปรดเอาทฤษฎีที่เรียนมากองไว้หน้าโรงหนังนะครับ ฝากเด็กเก็บตั๋ว หรือที่เขาขายป๊อปคอร์นก็ได้...เพราะไม่งั้นคุณอาจจะดูหนังโดยที่ทั้งเรื่องคิดแค่ว่า...แก่นของเรื่องคืออะไรฟะ...ทำไมใช้มุมกล้องนี้...ไม่ใช้อีกมุมหนึ่ง...คือ คุณจะดูสนุกไหมไม่รู้ แต่เพื่อนที่นั่งข้าง(ผมนี่แหละ) เสียอรรถรสอ่ะ พี่ กำลังซึ้ง...อย่างตอนนั้นไปดูเรื่อง ฮันนะซังอ่ะครับ เคยดูไหมครับ หนังเกาหลีที่ผู้หญิงอ้วนๆไปทำศัลยกรรมจนผอม เพื่อให้ได้เป็นนักร้องอ่ะครับ มันจะมีฉากที่ถ่ายให้เห็นคนดูเรือนหมื่นอยู่ใน Hall ผมก็กำลังอินเลยครับ กับความสำเร็จของนางเอก นายกิด (นามสมมติ) มันก็ตะโกนขึ้นมาครับว่า “ของปลอมนี่หว่า ไม่ใช่คนจริง เป็นฉาก”...จบครับ เสียมู้ดไปเยอะเลย จากนั้นมาดูหนัง ผมก็ไม่เคยนั่งข้างมันอีกเลย...นี่ก็เป็นรายละเอียดคร่าวๆนะครับ เกี่ยวกับภาควิชาสาขาต่างๆ ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะแตกต่างกันไป

ทำไมถึงเรียนนิเทศ (ล่ะ)

แหะๆสวัสดีทุกท่านที่เข้ามาชมครับ นี่ก็เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่ผมได้เข้ามาเขียนใน blog นี้...ซึ่งเรื่องที่ผมจะนำมาเขียนส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับ การเรียนนิเทศศาสตร์นะครับ ทั้งการเตรียมตัวของน้องๆระดับม.ปลาย และการใช้ชีวิตในการเป็นนกน้อยในไร่ส้มครับ ไม่ให้เสียเวลาเรามาเริ่มรู้จักกับโลกแห่งนิเทศศาสตร์กันเลยดีกว่า...
นับจากเริ่มจำความได้(ในรั้วมหาวิทยาลัยนะ) คำถามที่มักจะโดนถามอยู่เสมอจากคนรู้จัก หลังจากที่เขาทราบว่า เราเรียนนิเทศศาสตร์ คือ
“เรียนนิเทศหรอ...เรียนเกี่ยวกับอะไรอ่ะ???”
ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็คิดว่าโดนลองภูมิครับ ประมาณว่า มาถามกวนๆ เพราะคิดว่า คณะนิเทศศาสตร์ที่ติดอันดับต้นๆของคณะที่เด็กอยากเรียน จะมีคนไม่รู้จริงๆหรือ ว่ามันเรียนเกี่ยวกับอะไร ผมจึงตอบไปแบบห้วนๆครับว่า “เรียนเกี่ยวกับการสื่อสาร”...แต่นั่นคือตัวอย่างของการสื่อสารที่ผิดพลาดเลยครับ เพราะถ้าเจอพวกกวนโอ๊ย ท่านเหล่านั้นจะถามกลับทันทีว่า “ทำไมอ่ะ เป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องเหรอ”...เอากับท่านเหล่านี้สิครับ ที่เคยเจอหนักสุด คือ โดนคุณป้าท่านหนึ่งบอกว่า “งั้นอีกหน่อยสายโทรศัพท์ในบ้านเสีย ก็ซ่อมได้สิ เพราะเรียนการสื่อสารมา”..........
อันนี้คิดว่า คุณป้าคงไม่มีเจตนากวนอวัยวะชิ้นไหนหรอกครับ แต่แกซื่อไปหน่อยนึง
เมื่อตอนแรกๆ เจอกับ Feedback แบบนี้...จึงพยายามตอบอะไรให้ละเอียดมากขึ้นครับ ทั้งเรื่องนี้ และกับเรื่องอื่นๆ ด้วย เรียกง่ายๆ ว่า “เข็ด”
จริงๆแล้ว การเรียนนิเทศศาสตร์นะครับ ก็เป็นการเรียนเกี่ยวกับการสื่อสาร(จริงๆครับ) โดยเริ่มตั้งแต่การสื่อสารกับตัวเราเอง การสื่อสารกับเพื่อนๆ ไปจนถึงการสื่อสารกับสาธารณชนเลยครับ มาถึงตรงนี้ บางคนเริ่มสงสัยเหมือนท่านข้างบน... “ทำไมพวกแกพูดไม่รู้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ ถึงขนาดต้องเรียนการพูดจา” เอ่อ...ไม่ใช่นะครับ ใครกำลังคิดอย่างงั้น หยุดความคิดอันแสนจะปราดเปรื่องของท่านไว้ก่อนนะครับ...คือ...มันอาจจะดูเหมือนง่ายนะครับ เหมือนไม่น่าจะยุ่งยากอะไร แต่ท่านเคยเจอเหตุการณ์ที่คุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องไหมครับ หรือเราชอบอย่าง เพื่อนชอบอีกอย่าง...นั่นแหละครับ นิเทศศาสตร์สอนให้เห็นถึงความแตกต่างเหล่านี้ครับ แล้วก็แนะแนวทางกลยุทธ์ กลวิธีที่เราจะเข้าไปถึงกลุ่มคนแต่ละกลุ่มได้ เพื่อทำการสื่อสารให้ตอบสนองกับสิ่งที่กลุ่มเหล่านั้นต้องการไงครับ...เริ่มดูซับซ้อนขึ้นไหมครับ เพราะสิ่งที่พวกเราเรียน คือ กำลังศึกษาถึงพฤติกรรม ภูมิหลัง และจิตใจของมนุษย์ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างอะไรก็ได้ ที่จะทำให้พวกเราได้รู้ครับ ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นอย่างไร
นอกจากการศึกษาถึงเรื่องภายในของมนุษย์แล้ว...เอ่อ ภายในจิตใจน่ะครับ เรายังต้องศึกษาถึงเทคนิคการนำเสนอข้อมูล และขั้นตอนการผลิตข้อมูล เช่น การตัดต่อหนังสั้น การทำแผ่นพับโฆษณา การเขียนข่าวแจกประชาสัมพันธ์ เป็นต้น...ซึ่งแต่ละงานที่พวกเราผลิต มันก็มีจุดเด่น จุดด้อยต่างกันครับ รวมไปถึงใช้ได้กับคนคนละกลุ่มด้วย...
หวังว่าที่ผมเขียนมาคงทำให้หลายๆท่านกระจ่างมากขึ้นว่าที่แท้ เด็กนิเทศมันเรียนอะไรกันแน่ หรือวันๆมัน’ติสต์ อย่างเดียว เอ๊ะ หรือทำหน้าตาดีไปวันๆ...อย่างน้อย...คงไม่ทำให้งงมากขึ้นใช่ไหมครับ ^ ^ ที่สำคัญคำถามสุดท้าย ที่เลิกเอามาถามพวกเราสักทีเถอะครับ....“เรียนนิเทศทำไม อยากเป็นดาราเหรอ???” เอ่อ พี่ครับ...เด็กนิเทศไม่อยากเป็นดาราหรอกครับ...เราแค่อยากเป็นผู้นำเสนอสิ่งที่มีประโยชน์แก่ประชาชนอย่างถูกต้องต่างหาก...จริงๆนะครับ

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

นิเทศศาสตร์ หรือ นิเทศศิลป์ ใครเป็นใครกันแน่หว่า???


ช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงที่กำลังเตรียมตัวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยกันแล้ว แต่คำถามหนึ่งที่ถูกถามมาเยอะมากๆคือ นิเทศศาสตร์ กับนิเทศศิลป์แตกต่างกันยังไง??? นั่นสิ (อันนี้คิดในใจ) เรียนมาจะจบ ก็เพิ่งเอะใจนี่แหละ... ที่นี้ก็เลยลองมานั่งประมวลความคิดตัวเองดู บวกกับถามอาจารย์หลายๆท่าน ได้คำตอบมาประมาณนี้ครับ... การเรียนนิเทศศาสตร์นั้นจะเน้นไปที่การศึกษาที่ว่าด้วยการสื่อสารครับ เช่น องค์ประกอบของการสื่อสาร อย่างผู้พูด ผู้ฟัง ข้อความที่ส่ง สื่อที่ใช้ เป็นต้น โดยจะสนใจว่าทำยังไงจึงจะเกิดความเข้าใจ และการสื่อสารครั้งนั้นๆจะมีประสิทธิภาพ แต่...การเรียนนิเทศศิลป์นั้น จะให้ความสนใจในเรื่องของการนำศิลปะมาใช้ในการสื่อสาร ผ่านการออกแบบงานต่างๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ อย่างโปสเตอร์ ใบปลิวฯลฯ หรือการออกแบบฉากในรายการโทรทัศน์ครับ ซึ่งก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในด้านการออกแบบที่เป็นรูปธรรมมากกว่าครับ สรุปง่ายๆ คือ นิเทศศาสตร์เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ในระดับใหญ่ หรือภาครวมครับ เช่น ทำรายการโทรทัศน์ นิเทศศาสตร์จะคิดว่า ทำรายการอะไร กลุ่มผู้ชมเป็นใคร แล้วจะสื่อสารผ่านอะไรบ้าง แต่นิเทศศิลป์จะนำความคิดตรงนั้นมาสรรสร้างให้น่าสนใจ ในแต่ละจุดปลีกย่อยลงไปครับ เช่น ฉากของรายการ โทนสีที่ใช้ในรายการ หรือไตเติ้ล เป็นต้นครับ