ภาควิชา “ประชาสัมพันธ์” ดูจะเป็นภาคที่น่าสงสารภาคหนึ่งครับ เนื่องจากในบ้านเรามีความเข้าใจผิด และสับสนในนิยามของคำว่าประชาสัมพันธ์มากทีเดียวครับ...พอพูดว่า “ประชาสัมพันธ์” ปั๊บ...เราจะนึกถึงพนักงานสาวสวยที่มีหน้าที่คอยบริการข้อมูล หรือรับโทรศัพท์เป็นโอเปอเรเตอร์...ผิดถนัดนะครับกับความหมายของประชาสัมพันธ์จริงๆ ถึงแม้หนุ่มสาวภาคนี้จะหน้าตาดี แต่หน้าที่ของพวกเขาไม่ได้มีแค่นั้นครับ...อีกเรื่องที่เคยเจอเกี่ยวกับเด็กภาคประชาสัมพันธ์ครับ ภาควิชานี้มีชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “PR” ครับ (มาจากคำว่า Public Relations ครับ) เพื่อนผมอนงค์นางหนึ่ง สมมติว่าชื่อ เชอร์รี่ ละกันครับ...เชอร์รี่ ก็เรียนอยู่ PR ครับ แต่ด้วยความสวยปนความน่ารัก(จริงๆครับ) พอเธอตอบใครว่า “เรียนPRค่ะ”...เชื่อไหมครับ เกินครึ่งถามว่า “เรียน พริตตี้ (Pretty) เหรอ”...เอ่อ พี่ครับ...พริตตี้มันมีเปิดสอนในมหาวิทยาลัยด้วยเหรอ(ฟะ) สับสน ไม่เข้าใจ พี่คิดได้ไงเนี่ย!!! แต่พอได้ลองถามสาเหตุจากเชอร์รี่ ผมก็พอเข้าใจมากขึ้นครับ...คือหลายๆคนที่คิดอย่างนั้น คือ เขาเห็นว่าเด็กส่วนใหญ่ที่เรียน PR จะไปทำงาน Event ซะเยอะครับ แล้วในงานพวกนี้ก็จะมี Pretty อยู่ พี่ๆเขาเลยเหมารวมว่า ไอ้ PR เนี่ย ต้องมาจาก Pretty แน่ๆ...ไม่เป็นไรครับพี่ ยังไม่สายเกินไปที่จะปรับความเข้าใจครับ เรื่องตัวย่อของชื่อภาคชื่อคณะแล้วเกิดปัญหาเนี่ย ยังมีอีกเยอะครับ ไว้ว่างๆจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอโยงเข้าเรื่องภาควิชาประชาสัมพันธ์ก่อนครับ จริงๆแล้วการทำ organize หรือการจัด Event ที่เด็ก PR ไปทำกันเยอะนั้น จริงๆก็ไม่ผิดนะครับ เพราะก็ถือว่าตรงสาขาที่เรียนมาพอสมควร แต่แท้จริงแล้วการเป็นนักประชาสัมพันธ์มีหน้าที่สูงส่ง และยากยิ่งกว่านั้นมากครับ นั่นคือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่หน่วยงาน และการทำให้กลุ่มเป้าหมาย เช่น ลูกค้าของบริษัทเรา เกิดความรู้สึกที่ดีกับสินค้าของเรา แล้วซื้อสินค้าของเราครับ...
บางคนก็มีคำถามว่า อยากขายของได้ก็ทำโฆษณาสิ...มามัวประชาสัมพันธ์ทำไม...ที่พูดก็ไม่ผิดครับ เพราะหากต้องการขายของ(อย่างเดียว)โฆษณา(น่าจะ)ทำหน้าที่ได้ดีกว่าการPRครับ แต่ข้อดีของPR คือ การก่อให้เกิด Goodwill ครับ ที่ต้องขอใช้คำนี้ เพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าจะแปลยังไงดี มันประมาณว่าสร้างให้ลูกค้าเกิดความนิยมอ่ะครับ แต่เป็นความนิยมที่สะสมมาเรื่อยๆ ไม่ใช่ความนิยมชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนกระแสแฟชั่นอ่ะครับ และที่สำคัญคือ การทำ PR นั้นใช้เงินน้อยกว่าโขเลยครับ คิดง่ายๆว่า การจัดงาน Event งานหนึ่ง เราอาจใช้งบประมาณเพียงไม่กี่หมื่น หรือไม่กี่แสน...แต่ถ้าเป็นโฆษณา แค่ค่าผลิตก็อาจไม่พอแล้วก็ได้นะครับ ยังไม่รวมค่าที่ต้องเอาซื้อสื่ออีก นี่แหละครับ เป็นสาเหตุว่าทำไมประชาสัมพันธ์ถึงมีความสำคัญมาก แล้วผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า บริษัทที่มี นักประชาสัมพันธ์เก่งๆนั้น บางครั้งแทบไม่ต้องทำโฆษณาเลยก็ได้ครับ เพราะข่าวของเราจะมีอยู่ในหนังสือพิมพ์ ในโทรทัศน์เอง ถึงจะเป็นการออกในรายการสะเก็ดข่าว เก็บตก แต่ก็อย่าลืมนะครับว่ามีคนดูมากแค่ไหนในแต่ละวัน...
แต่อย่าคิดว่า PR มีหน้าที่แค่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัทอย่างเดียวนะครับ...เมื่อมีด้านที่ดีแล้ว ก็ต้องมีด้านที่ร้ายเช่นกันครับ (ไม่ใช่นักประชาสัมพันธ์ไปทำสิ่งไม่ดีนะ...) คือ การที่มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับบริษัท หรือสินค้าของเราขึ้นมา ทั้งที่เกิดขึ้นจริง และถูกใส่ร้ายป้ายสีครับ ตัวอย่างข่าวก็เช่น เราขายนมตรา มะระ แล้วดันโดนหาว่าปนเปื้อนสารเมลามีนอ่ะครับ หากเราเป็น PR ของบริษัทก็เตรียมตัวสนุกได้เลยครับ เพราะเราต้องลงไปหาข้อมูลว่า ข่าวนี้เป็นความจริงเท็จแค่ไหน และจัดแถลงข่าวครับ...ซึ่งพูดแค่นี้มันดูไม่ยากนะครับ แต่ความเชื่อมั่นที่หายไปต่อจากนั้น PR ต้องเรียกกลับมาให้ได้ด้วยล่ะครับ (บอกแล้วครับ มันคือ ความนิยมที่สะสมมา โดนทำลาย ก็ต้องสะสมใหม่)...
สำหรับน้องๆ ที่อยากเรียนภาควิชาประชาสัมพันธ์นะครับ ก็ไม่ยากครับ แค่เดินมาสมัคร...ล้อเล่นครับ อันนั้นไม่บอกทุกคนก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งครับ มีสติ ทำอะไรคิดหน้าคิดหลังครับ พอขีดๆเขียนๆ อะไรให้ใครอ่านเข้าใจได้ มนุษยสัมพันธ์ดี มีรอยยิ้มละไมตลอดเวลาครับ แต่จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ก็สามารถฝึกและสั่งสมได้ครับ...ขอเพียงแค่ก้าวแรกที่เข้ามา เรามีใจรัก และมีความมุ่งมั่น ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเราหรอกครับ...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น