จากคราวที่แล้ว ที่ผมได้เขียนถึงเกี่ยวกับ การเรียนนิเทศศาสตร์โดยรวมแล้ว...ก็เริ่มมีคนเข้ามาถามครับว่า แล้วนิเทศศาสตร์นั้นแบ่งเป็นอะไรอีกบ้าง จากที่คุยกับน้องๆหลายๆคน ยังไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดครับ น้องบางคนเข้าใจว่า เรียนนิเทศ ต้องถ่ายรูปเก่ง ต้องพูดเก่ง ต้องความคิดสร้างสรรค์เยอะๆ ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่สิ่งเหล่านี้ มันฝึกได้ครับ หากเรามีความพยายามซะอย่าง อะไรก็ไม่ใช่อุปสรรค...
ที่นี้...แล้วในนิเทศศาสตร์ มันประกอบไปด้วยอะไรบ้างล่ะ มีแต่โฆษณาหรือเปล่า เห็นใครเรียนนิเทศ ก็บอกเรียนโฆษณาๆ (ออกเสียงว่า โคด-สะ-นา นะครับ ไม่เอา โค-สะ-นา นี่คือสื่อเสียตังค์ ไม่ใช่วัววิ่งเล่นในไร่) อ่าว แต่พี่สรยุทธ์ ที่เราปลาบปลื้มก็จบนิเทศศาสตร์นี่หว่า...เขาจบโฆษณาเหรอ จบโฆษณาไปเป็นนักข่าวได้ไงอ่า........ครับ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ผมแอบเจอจริงๆนะครับ แล้วก็ไม่ได้ไปโทษน้องเขา หรือมหาวิทยาลัยไหนหรอกครับ...แต่โทษอาจารย์แนะแนวของโรงเรียนน้องดีกว่า...แว้ก ไม่ใช่ ล้อเล่นๆ...ก่อนที่ผมจะถูกหมั่นไส้มากกว่านี้ เรามาดูกันถึงสาเหตุว่า ทำไมพี่สรยุทธ์สุดเก่งของเรา ถึงเป็นนักข่าวได้ทั้งที่เรียนนิเทศศาสตร์กันก่อนดีกว่าครับ
คำตอบก็คือ นิเทศศาสตร์นั้น ไม่ได้มีแต่โฆษณาอย่างเดียวครับ เพราะอย่างที่เคยบอกแหละว่าเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารทั้งหมด ถ้ามีโฆษณาอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่การสื่อสารทั้งหมดสิครับ...อย่างนิเทศศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยผมจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 7 ภาควิชาครับ ประกอบไปด้วย...
- ภาควิชาการประชาสัมพันธ์...ภาคนี้จะรวบรวมบรรดานักศึกษาหล่อสวย (ไม่ได้แปลว่าผู้ชายหล่อที่พยายามจะสวยนะครับ แต่หมายถึงมีทั้งหล่อ...และสวย...จริงๆ) บุคลิกภาพดี และรักษาภาพลักษณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ให้กับทั้งตนเอง เพื่อนฝูง และสถาบันครับ...(เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเรียนนะครับ ใครคิดว่า ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่แค่เอาไว้ถามทางในห้าง...กรุณารออ่านบทความหน้าเลยครับ...คุณคิดผิดมหันต์)
- ภาควิชาวารสารศาสตร์...ใครที่สงสัยว่า พี่สรยุทธ์เป็นนักข่าวได้ไง...คงกระจ่างขึ้นนะครับ..ใช่แล้วครับ พี่เขาเรียนภาคนี้แหละครับ ซึ่งก็แน่นอนว่านักศึกษาที่เรียนภาคนี้มักจะจบออกไปเป็นนักข่าวครับ ที่ทำงานอย่างเต็มที่และมากไปด้วยจรรยาบรรณ และจริยธรรมครับ
- ภาควิชาการโฆษณา...นี่คือ ภาควิชาที่ฮิตที่สุดครับ อย่างน้อยก็เป็นภาควิชาที่ติดปากที่สุดแน่นอน ขนาดเวลาผมบอกใครว่าเรียนนิเทศ คู่สนทนายังมักจะพูดเลยครับว่า “เรียนสาขาไรอ่ะ แอด (ย่อมาจาก Advertising น่ะครับ) เหรอ” ผมก็ไม่รุ้ว่า...คือเขาไม่รู้จักภาคอื่น แต่อันจะบอกว่าไม่รู้ ก็ดูน่าอายป่าวไม่รู้ เลยเดาว่า โฆษณาไว้ก่อน....ล้อเล่นครับ จริงๆมันฮิตมากต่างหาก...ฉะนั้นน้องๆ ก็อย่าเศร้าไปครับ ที่เข้าใจมาโดยตลอดว่า นิเทศ คือ โฆษณา เพราะผู้ใหญ่ก็เข้าใจอย่างนั้นไม่น้อยเหมือนกัน...แต่เด็กภาควิชานี้ ก็จะเน้นออกเป็นนักธุรกิจหน่อยครับ หรือไม่ก็จะมีหัวสร้างสรรค์สูง ยังไงก็ตาม นักศึกษาภาคนี้ก็จะเน้นการนำเสนอโฆษณาที่อยู่บนความถูกต้องและความจริงครับ ไม่มีการแต่งเติมเสริมอะไรลงไปทั้งสิ้น
- ภาควิชาการสื่อสารแบรนด์...ฟังชื่ออาจจะไม่คุ้นหูนะครับ เพราะมันเป็นภาควิชาที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่มาเมื่อไม่กี่ปีนี่เองครับ...ถ้าจะมานั่งอธิบายว่ามันคืออะไรแบบละเอียดๆ คงต้องใช้เวลาเป็นปี (แต่ผมจะนำมาเขียนแนะนำแน่ๆ สักครั้งหนึ่ง - - - ขอไปเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายๆก่อน) แต่ที่แน่ๆ...มันไม่ใช่วิชาวาดเขียนโลโก้ทั้งวันทั้งคืนแน่นอนครับ...หยุดความคิดนั้น แล้วเขวี้ยงลงถังขยะไปได้เลย
- ภาควิชาศิลปะการแสดง...และภาคนี้ คือ อีกหนึ่งภาคครับที่ผลิตนักแสดงฝีมือดีออกมาสู่วงการบ้านเรามากมาย แต่จะหนักไปทางละครเวทีนะครับ...แต่ภาคนี้นอกจากจะมีนักแสดงแล้ว ก็ยังมีเรื่องของการเขียนบท การเป็นผู้กำกับ รวมไปถึงศาสตร์ในการแสดงต่างๆด้วยครับ เช่น การเต้น การรำ...ที่สำคัญ ภาคการแสดงของมหาวิทยาลัยจะมีละครเวทีทุกปีให้พวกเราได้ติดตามอย่างตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่ใดเลยด้วยครับ
- ภาควิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์...ชื่อของภาคนี้บอกค่อนข้างตรงตัวนะครับว่าไม่ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์แน่นอน แต่ชีวิตก็จะเจอกระดาษกองพะเนินไม่แพ้กันครับ...เพราะสคริปต์ถ่ายทำรายการ รายการหนึ่งหนาเป็นเล่มๆเลยทีเดียวต่อตอน นอกจากนี้ภาคนี้จะยังได้สัมผัสกับการทำงานในสตูดิโอ รวมไปถึงการตัดต่อ การบันทึกเสียง การจัดรายการสด ฯลฯ ถือเป็นอีกภาควิชาที่น่าสนใจมากครับ...แต่เคยได้ยินเพื่อนบ่นเหมือนกันว่า...เรียนหนักใช่ย่อย ชั่งใจดูละกันครับ
- ภาควิชาภาพยนตร์...ใครที่คิดจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ หรือคิดจะทำหนังสั้นประกวดเอารางวัลระดับโลกละก็...ผมขอแนะนำภาควิชานี้เลยครับ เพราะคุณจะได้ลองทำจริงๆ และยังมีอาจารย์ รวมถึงวิทยากรรับเชิญที่เข้ามาให้ความรู้อีกด้วย...แต่ก็ต้องระวังนะครับ...เวลาไปดูหนัง โปรดเอาทฤษฎีที่เรียนมากองไว้หน้าโรงหนังนะครับ ฝากเด็กเก็บตั๋ว หรือที่เขาขายป๊อปคอร์นก็ได้...เพราะไม่งั้นคุณอาจจะดูหนังโดยที่ทั้งเรื่องคิดแค่ว่า...แก่นของเรื่องคืออะไรฟะ...ทำไมใช้มุมกล้องนี้...ไม่ใช้อีกมุมหนึ่ง...คือ คุณจะดูสนุกไหมไม่รู้ แต่เพื่อนที่นั่งข้าง(ผมนี่แหละ) เสียอรรถรสอ่ะ พี่ กำลังซึ้ง...อย่างตอนนั้นไปดูเรื่อง ฮันนะซังอ่ะครับ เคยดูไหมครับ หนังเกาหลีที่ผู้หญิงอ้วนๆไปทำศัลยกรรมจนผอม เพื่อให้ได้เป็นนักร้องอ่ะครับ มันจะมีฉากที่ถ่ายให้เห็นคนดูเรือนหมื่นอยู่ใน Hall ผมก็กำลังอินเลยครับ กับความสำเร็จของนางเอก นายกิด (นามสมมติ) มันก็ตะโกนขึ้นมาครับว่า “ของปลอมนี่หว่า ไม่ใช่คนจริง เป็นฉาก”...จบครับ เสียมู้ดไปเยอะเลย จากนั้นมาดูหนัง ผมก็ไม่เคยนั่งข้างมันอีกเลย...นี่ก็เป็นรายละเอียดคร่าวๆนะครับ เกี่ยวกับภาควิชาสาขาต่างๆ ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะแตกต่างกันไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น